Main Menu

Recent posts

#1

หาดจอมเทียน อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัด ชลบุรี และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเยอะเหมือนกัน เรื่องของความสวยงามของหาด บรรยากาศ และน้ำทะเล บอกเลยว่าไม่แพ้ที่ใดแน่นอน มาที่นี่ที่เดียว คุณสามารถทำกิจกรรมได้หลายชนิด วันนี้เราเลยมาบอกทุกท่านเกี่ยวกับรายละเอียดของ หาดจอมเทียน เพื่อเป็นข้อมูลก่อนเที่ยวจริง

กิจกรรมที่น่าสนใจ
สำหรับ หาดจอมเทียน เป็นหาดที่ไม่ได้อยู่ห่างจากกรุงเทพเท่าไหร่ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และอยู่ห่างจากพัทยาเพียงแค่ 4 กิโลเมตร ลักษณะของหาดเป็นหาดทรายยาว ค่อนข้างจะเงียบสงบ แม้ว่าจะอยู่ใกล้กับเมืองใกล้กรุงเทพ แต่ว่าธรรมชาติบนหาดแห่งนี้ ยังถือว่ามีความสมบูรณ์พอสมควร ยิ่งใครที่ไม่อยากจะวุ่นวาย อยากจะเที่ยวในสถานที่ที่เงียบสงบ สวยงาม มาที่หาดจอมเทียนไม่มีผิดหวังแน่นอน มาดูว่ากิจกรรมที่นี่มีอะไรบ้าง
•   กิจกรรมทางน้ำ คนที่ชอบความท้าทาย อยากจะเล่นกิจกรรมทางน้ำ เช่น เจ็ตสกี พาราชู๊ต เล่นน้ำ บานาน่าโบ้ท บอกเลยว่าไม่มีควรพลาด ที่นี่มีให้คุณเล่นทุกชนิด ซึ่งก่อนจะเล่นก็ควรสำรวจก่อนว่าตอนนั้นมีแมงกระพรุนหรือไม่ หรือมีมรสุมหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเรา
•   ตลาดเย็นหาดจอมเทียน ที่หาดจอมเทียนมีตลาดตอนเย็นให้นักท่องเที่ยวได้เดินชม เลือกซื้อของ มีของมากมายให้เลือกซื้อ ตั้งแต่อาหาร ของฝาก และเสื้อผ้า ซึ่งอาหารที่นี่ ก็มาจากชาวประมงโดยตรง ทำให้ได้ความสดใหม่ตลอดเวลา และตอนนี้นักท่องเที่ยวก็มีจำนวนมากขึ้น มาเที่ยวที่ตลาดแห่งนี้
•   ตลาดพื้นบ้าน เป็นตลาดที่ขายกันตอนเช้า ประเภทของที่นำมาขายที่ตลาดแห่งนี้ ก็จะเป็นอาหารทะเลสดๆ ที่เพิ่งรับมาจากชาวประมง ใครที่อยากจะได้อาหารทะเลสดๆ เอาไว้ทำอาหารกินเอง แนะนำว่าเข้ามาที่ตลาดแห่งนี้ คุณจะได้อาหารทุกชนิดเลยแหละ ราคาของสินค้าที่ขายที่นี่ ก็ไม่แพงเท่าไหร่ ลูกค้าที่เดินทางมาซื้อ ส่วนมากก็เป็นร้านค้าต่างๆ นั่นเอง
การเดินทาง
วิธีการเดินทางเพื่อมาเที่ยวที่หาดจอมเทียน ถือว่าสะดวกมาก ห่างจากกรุงเทพเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น เดินทางมาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ หรือนั่งรถโดยสารก็สะดวก

ค่าบริการในการเข้าชม
ฟรี

ที่พักและอาหาร
ที่หาดจอมเทียน มีที่พักหลายประเภทและหลายราคาให้เลือก มีทั้งแบบติดทะเล ไม่ติดทะเล แบบคนเดียว เป็นคู่ หรือเป็นครอบครัว ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนอาหารก็ถือว่าเยอะมาก ริมชายหาด และบริการใกล้เคียง มีร้านอาหารอร่อยๆ เยอะ รวมถึงร้านตามรถเข็น ก็อร่อยไม่แพ้กัน หรือท่านใดที่อยากจะนั่งบาร์ฟังเพลงสบายๆ ที่นี่ก็มีให้เช่นกัน

พิกัดของ หาดจอมเทียน
ตั้งอยู่ใน ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
#2

ประวัติ ไมเคิล โอลิเซ่ แนวรุกสัญชาติฝรั่งเศสของ คริสตัล พาเลซ
ทีมชาติ : ฝรั่งเศส U21 7 นัด – 1 ประตู (ยังไม่ติดทีมชาติชุดใหญ่)
สโมสรปัจจุบัน : คริสตัล พาเลซ 76 นัด -6 ประตู (2021-?)

ไมเคิล โอลิเซ่ เกิดวันที่ 12 ธันวาคม 2021 ที่ประเทศอังกฤษ เริ่มต้นเล่นฟุตบอล ระดับเยาวชนกับสโมสร อาร์เซน่อล ในปี 2009 จากนั้นในปีเดียวกัน ย้ายสู่อคาเดมี่ของ เชลซี (2009-2016) แล้วไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2016-2017) ต่อด้วยการไปอยู่กับ เรดดิ้ง ในปี 2017 แล้วได้รับโอกาสลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ของ เรดดิ้ง ในฤดูกาล 2018/19 โดยได้ลงเล่น 4 นัด – 0 ประตู

ฤดูกาล 2019/20 ไมเคิล โอลิเซ่ ได้รับโอกาสมากขึ้น โดยในช่วง 32 นัดแรกของซีซั่น โอลิเซ่ได้ลงเล่นแค่ 5 นัด แต่ในช่วง 14 นัดสุดท้าย ได้ลงเล่นทุกนัด รวมแล้วได้ลงเล่น 19 นัด ยิง 0 ประตู แล้วมี 1 แอสซิสต์ ในเกมชนะ ฟูแล่ม 4-1 แล้วมีอีก 1 แอสซิสต์ ในฟุตบอลเอฟเอคัพ ที่เสมอ แบล็คพูล 2-2

ฤดูกาล 2020/21 ไมเคิล โอลิเซ่ กลายเป็นแกนหลักของ เรดดิ้ง แบบเต็มตัว เริ่มต้นฤดูกาลนัดแรกด้วย 1 แอสซิสต์ ในเกมชนะ ดาร์บี้ 2-0 ต่อเนื่องด้วยการยิง 1 ประตู ในเกมชนะ บาร์นสลีย์ 2-0 และจ่ายอีก 1 แอสซิสต์ในเกมชนะ คาร์ดิฟ 2-1 จากนั้นยังพาทีมเก็บคะแนนอย่างต่อเนื่อง ผ่าน 8 นัด (ชนะ 7 เสมอ 1) แต่หลังจากนั้น ผลงานของ เรดดิ้ง แผ่วลงไป แต่ผลงานส่วนตัวของ โอลิเซ่ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี จบฤดูกาลดังกล่าวเขายิง 7 ประตู จากการลงเล่นแชมป์เปียนชิพ 44 นัด พาทีมจบที่อันดับ 7

ฤดูกาล 2021/22 คริสตัล พาเลซ จ่ายเงิน 8 ล้านปอนด์ ซื้อตัว ไมเคิล โอลิเซ่ ขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีก เปิดตัวนัดแรกในวันที่ 11 กันยายน 2021 (พรีเมียร์ลีก นัดที่ 4) ในเกมชนะ สเปอร์ 3-0 โดยลงไปแทนที่ จอร์แดน อายิว ในนาที 86 จากนั้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2021 (พรีเมียร์ลีก นัดที่ 7) โอลิเซ่ยิง 1 ประตู ในเกมเสมอ เลสเตอร์ 2-2 โดยลงเป็นสำรองในนาที 53 แทนที่ของ จอร์แดน อายิว

8 มกราคม 2022 โอลิเซ่ ยิง 1 ประตู จ่าย 1 แอสซิสต์ ใส่ มิลวอลล์ (ชนะ 2-1) ในเอฟเอคัพ รอบ 3 ต่อด้วยการยิงอีก 1 ประตู ใส่ ฮาร์ทลี่พูล (ชนะ 2-0) ในเอฟเอคัพ รอบที่ 4 พาทีมเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะแพ้ เชลซี 0-2 จอดป้ายแค่รอบนั้น

ฤดูกาล 2022/23 ไมเคิล โอลิเซ่ พลาดการลงเล่นพรีเมียร์ลีกแค่นัดเดียว (ตัวจริง 31 สำรอง 6) ยิง 2 จ่าย 11 แอสซิสต์ หนึ่งในนั้นคือการจ่าย 3 ลูก ในพรีเมียร์ลีก นัดที่ 31 ที่เอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 5-1 ส่วนสองประตูที่ยิงได้นั้น เป็นการยิงใส่ เวสต์แฮม (ชนะ 2-1) และ แมนฯ ยูไนเต็ด (เสมอ 1-1)
#3

กลายเป็นตัวหลัก ที่ทัพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะขาดไปไม่ได้เลย นั่นก็คือ บรูโน่ เฟอร์นานเดส กองกลางที่มากความสามารถ และตั้งแต่ที่เขาอยู่กับทีมมา ก็ช่วยทีมได้ตลอด สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีช่วงไหนที่ฟอร์มของเขาดรอปลงเลย ลองมาดูความเป็นมาของกองกลางคนนี้กันดู

ชื่อเต็ม บรูโน่ มิเกล บอร์เกส เฟอร์นานเดส
วันเกิด 8 กันยายน 1994 (26 ปี)
สถานที่เกิด เมืองไมยา ประเทศโปรตุเกส
ส่วนสูง 179 เซนติเมตร
ตำแหน่ง กองกลาง

เส้นทางของการเป็นนักฟุตบอลของ บรูโน่ เฟอร์นานเดส

บรูโน่ เป็นเด็กที่ชื่นชอบฟุตบอลมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งชีวิตของเขามีแต่ฟุตบอลอย่างเดียว เมื่อปี 2002-2004 เขาก็ได้เริ่มต้นของการเป็นนักฟุตบอลแล้ว โดยเล่นให้กับสโมสร อินเฟสต้า ด้วยการเล่นในฐานะทีมเยาวชน เจ้าตัวก็ได้มีการพัฒนาฝีเท้ามาเรื่อยๆ หลังจากปี 2004 เขาได้อำลาทีมเดิม และเข้ามาเล่นให้กับ เบาวิสตา สโมสรที่มีชื่อเสียงของโปรตุเกส

แม้ว่าฟอร์มของ บรูโน่ เป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นตัวจริงในชุดใหญ่ได้ หลังจากที่อยู่กับทีมแล้วไม่ค่อยได้ลง บรูโน่ ก็ถูกก ปาสตีไรล่า ยืมตัวไปเป็นเวลาถึง 5 ปี แล้วกลับมาที่ถิ่นเดิมอีกครั้ง และได้เล่นให้กับ เบาวิสตา อีก 2 ปี

เส้นทางของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัว เริ่มต้นเมื่อ บรูโน่ ได้เข้ามาเล่นให้กับทีม โนวาร่า จากอิตาลี หลังจากที่มีโอกาสได้ลงเล่น ในที่สุด บรูโน่ ก็ก้าวมาเป็นผู้เล่นในฐานะตัวจริงได้เลย ระหว่างที่อยู่กับทีม ฝีเท้าของเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ทีมของกัลโซ อูดิเนเซ่ ดึงตัวไปร่วมทีมด้วย จากนั้นก็ย้ายไปย้ายมาอีก 2 ครั้ง คือไปเล่นให้กับ ชาพ์มโดเรีย และ สปอร์ติงลิสบอน ยักษ์ใหญ่ของโปรตุเกส

และที่ สปอร์ติงลิสบอน เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากจบฤดูกาลปี 2018-2019 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็แสดงออกว่าอยากจะได้ตัวของ บรูโน่ มาร่วมทีมด้วย แต่ยังติดสัญญาอยู่ หลังจากนั้นอีก 1 ปี ในปี 2020 เขาก็ได้ย้ายมาเล่นให้กับทัพปีศาจแดง และพิสูจน์ตัวเองได้ตั้งแต่การลงเล่นครั้งแรก ด้วยการทำผลงานดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในสภาพไร้ความหวัง ให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง ด้วยฝีเท้าของชายคนนี้นี่เอง เรียกว่าพลิกทีมจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย

รางวัลส่วนตัว

•   นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลีกโปรตุเกส ปี 2017/2018 , 2018/2019
•   ติดทีมยอดเยี่ยมของศึกยูโรปา ลีก ปี 2017/18 , 2018/2019
•   ติดทีมยอดเยี่ยมของศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ปี 2019
•   นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 2019/2020
•   ดาวซัลโวศึกยูโรปา ลีก ปี 2019/2020
#4

บูคาโย่ ซาก้า แนวรุกทีมชาติอังกฤษของ อาร์เซน่อล
ทีมชาติ : อังกฤษ 28 นัด ยิง 11 ประตู (2020-?)
สโมสรปัจจุบัน : อาร์เซน่อล 182 นัด ยิง 39 ประตู (2018-?)

บูคาโย่ ซาก้า (Bukayo Saka) เกิดวันที่ 5 ตุลาคม 2001 ที่ประเทศอังกฤษ เริ่มต้นเล่นฟุตบอล ระดับเยาวชนกับ อคาเดมี่ของสโมสร อาร์เซน่อล ช่วงปี 2008 แล้วถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2018 เปิดตัวในฤดูกาล 2018/19 ด้วยการได้ลงเล่นพรีเมียร์ลีก 1 นัด

ฤดูกาล 2019/20 บูคาโย่ ซาก้า พลาดการลงเล่นใน 5 นัดแรกของฤดูกาล โดยไม่มีชื่อใน 4 นัด แล้วเป็นสำรองอีก 1 นัดแต่ไม่ได้ลงสนาม ก่อนจะได้รับโอกาสในวันที่ 22 กันยายน 2019 ได้ลงเล่นตัวจริงในตำแหน่งปีกซ้าย แล้วปีกขวาเป็น นิโคลาส เปเป้ ส่วนหน้าเป้าเป็น เอเมริค โอบาเมยอง ซาก้าถูกเปลี่ยนตัวในนาที 46 ขณะที่ทีมตามหลัง 0-1 แล้วจบเกมนั้น อาร์เซน่อล ชนะ แอสตัน วิลล่า 3-2

หลังจากเกมนั้น บูคาโย่ ซาก้า ยังได้รับโอกาสเรื่อยมา ผ่านไปถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2019 พรีเมียร์ลีก นัดที่ 33 ซาก้ายิง 1 ประตูช่วยให้ทีมชนะ วูล์ฟแฮมป์ตั้น 2-0 แล้วจบฤดูกาลนั้น ด้วยการลงเล่น 38 นัดรวมทุกรายการ ยิง 4 ประตู จ่าย 12 แอสซิสต์ มีส่วนในการพาทีมคว้า แชมป์เอฟเอคัพ 2019/20 มีส่วนร่วม 4 นัด แต่ไม่ได้ลงเล่นรอบรองฯ และรอบชิงชนะเลิศที่ชนะ เชลซี 2-1

ฤดูกาล 2020/21 บูคาโย่ ซาก้า เริ่มต้นด้วยการยิงประตูชัยให้ทีมชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 ในเกมลีกนัดที่ 4 จากนั้นเป็นแกนหลักของทีมตลอดทั้งฤดูกาล ยิงประตูใส่ทั้ง เชลซี เวสบรอมวิช นิวคาสเซิล และ เซาแธมป์ตั้น จบฤดูกาลนั้นด้วยการยิงในพรีเมียร์ลีก 5 ประตู จาก 32 นัด พร้อมมีส่วนสำคัญในการพา อาร์เซน่อล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลยูโรป้าลีก 2020/21 น่าเสียดายที่แพ้ให้กับ บีญาร์เรอัล สกอร์รวม 1-2 (ตัวจริง 8 นัด สำรอง 1)

ฤดูกาล 2021/22 บูคาโย่ ซาก้า กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ อาร์เซน่อล จะขาดไม่ได้ เขาไม่พลาดเกมลีกแม้แต่นัดเดียว ยิง 11 ประตู จ่าย 7 แอสซิสต์ เป็นดาวซัลโวของสโมสร แต่ไม่อาจพาทีมไป UCL ได้ จบเพียงอันดับ 5 เท่านั้น แต่นี่คือฟอร์มที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ค้าแข้งมา

ฤดูกาล 2022/23 บูคาโย่ ซาก้า ยังคงเป็นแกนหลักของ อาร์เซน่อล สร้างความอันตรายทางริมเส้น ยิงประตูและแอสซิสต์ได้อย่างต่อเนื่อง นั่นรวมไปถึงการยิง 2 ประตู ในวันที่ 9 ตุลาคม 2022 ช่วยให้ อาร์เซน่อล เอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-2 นำเป็นจ่าฝูงหลังผ่านไป 10 นัด หลังจากนั้น ซาก้าและผองเพื่อนก็ช่วยกันเก็บคะแนน พาปืนใหญ่นำเป็นจ่าฝูงไปถึงช่วงท้ายฤดูกาล แต่โชคร้ายที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงคว้าแชมป์ 5 คะแนน
ฤดูกาล 2023/24 บูคาโย่ ซาก้า ยังอยู่กับ อาร์เซน่อล ลงเล่น 3 นัดรวมทุกรายการ ยิง 1 ประตู จ่าย 1 แอสซิสต์
#5

กาลครึ่งหนึ่งแฟนบอลทั่วโลกคอยตกตะลึงพร้อมไม่เชื่อสายตาตัวเองมาแล้ว ว่าจะมีทีมไหนที่รวบรวมเอาสุดยอดนักเตะแห่งยุคไปรวมกันเอาไว้ที่เดียวได้ แต่ว่า เรอัล มาดริด สุดยอดทีมแห่งสเปนทำมาแล้ว โดยตั้งชื่อชุดในตำนานนี้เอาไว้ว่า "ยุคกาลาคติกอส" ที่ไม่มีแล้วจะมีทีมไหนมาเลียนแบบทำตามพวกเขาได้ โดยบทความนี้จะมาย้อนถึงชุดตำนานชุดนั้นกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ช่วงไหน แล้วมีนักเตะคนไหนอยู่บ้าง

ต้นกำเนิดของ ทีมตำนานกาลาคติกอส

เดิมที เรอัล มาดริด เป็นทีมที่มีซูปเปอร์สตาร์เยอะอยู่แล้ว แต่อยู่มาวันหนึ่งประธานสโมสรของทีมในเวลานั้น เกิดความคิดที่ไม่มีใครกล้าคิด ในการสร้างทีมที่ดีที่สุดในแต่ละตำแหน่งของโลกขึ้นมา จนกระทั่งทำมันสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ จนกลายเป็นทีมฟุตบอลระดับตำนานที่จะอยู่เคียงข้างกับโลกใบนี้ไปตลอดกาล ซึ่งจะมาย้อนดูกันว่าทีมในชุดนี้มีใครกันบ้างทั้ง 11 ตัวจริงและตัวสำรอง

- ผู้รักษาประตู - อิเคร์ กาซิยาส นี่คือมือกาวระดับท็อปของโลกในเวลานั้นอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นตำนานของสโมสรที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน
- แบ็คขวา - มิเชล ซัลกาโด้ ในยุคนั้นของตำแหน่งนี้ เขาคือคนที่ได้รับการยอมรับว่าสุดยอดไม่แพ้ใครเหมือนกัน
- แบ็คซ้าย - โรแบร์โต้ คาร์ลอส แบ็คซ้ายระดับโลกที่สุดยอดที่สุดอย่างแท้จริง มีเอกลักษณ์คือการยิงลูกฟรีคิกที่รุนแรง และยังคงถูกกล่าวถึงอยู่เรื่อยๆในทุกวันนี้
- เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ - อิบัน เอลเกร่า อาจจะไม่ได้ถูกยกย่องมากมายนัก แต่หากวัดกันที่ความสามารถฝีเท้า นี่คือนักเตะแนวรับที่สมบูรณ์แบบ
- กองกลาง - ซีเนดีน ซีดาน&หลุยส์ ฟิโก้ 2 สุดยอดซูปเปอร์สตาร์แห่งยุค ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาร่วมทีมกันได้ แล้วความสามารถที่เบี่ยมล้นของพวกเขาทั้งคู่ ได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมให้กับทีมขึ้นมาในทุกๆนัด
- ปีกขวา - เดวิด เบ็คแฮม นี่คือขวัญใจแฟนบอลทั่วโลกอย่างแท้จริง การย้ายมาราชันชุดขาวในช่วงเวลานั้น คือเรื่องเซอร์ไพรส์แบบสุดๆ เพราะเขาคือไอดอลของแมนยู และการมาอยู่ในทีมชุดนี้เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก   
- กองหน้า – โรนัลโด้ & ราอูล 2 คู่หูในแดนหน้าที่อยู่ในระดับท็อปของโลกอย่างแท้จริงในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะ โรนัลโด้ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกองหน้าที่ครบเครื่องตลอดกาลของโลกลูกหนังเลยทีเดียว เช่นกันกับ ราอูล ที่พร้อมจะยิงประตูคู่แข่งทุกเวลาด้วยทักษะที่สุดยอดในตัวเขา
#6

ในวงการบาสเกตบอล รายการที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในโลกก็คือศึก NBA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นกำเนิดของกีฬาชนิดนี้ แล้วยังเป็นแห่งร่วมนักบาสชั้นนำของโลกเอาไว้อีกมากมาย จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม NBA ถึงมีแฟนๆติดตามทั่วทุกมุมโลกที่เยอะมากๆ แล้วพอมีการแข่งขันเมื่อไหร่ แต่ละสนามจะเต็มไปด้วยแฟนๆที่เข้ามารับชมอย่างเนืองแน่น และด้วยการแข่งขันที่เข้มข้นระดับสูง ทำให้มีเพียงไม่กี่ทีมเท่านั้นในประวัติศาสตร์ที่ดีพอจะก้าวไปคว้าแชมป์ในบั้นปลาย และนี่คือ 5 อันดับของทีมที่คว้าแชมป์ NBA ได้มากที่สุด

5 อันดับทีมที่คว้าแชมป์ NBA ได้มากที่สุด

5. ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส
ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส อีกหนึ่งทีมแกร่งชื่อดังของลีก มีผลงานที่เยี่ยมยอดมาตลอด จนก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้ถึง 5 สมัย ในปี 1999, 2003, 2005, 2007 และครั้งล่าสุดคือ 2014 แต่การร้างแชมป์มาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี ทำให้แฟนๆต่างเฝ้ารอคอยที่ทีมจะเถลิงบัลลังค์แชมป์อีกครั้งให้ได้

4. ชิคาโก้ บูลส์
ผลงานของ ชิคาโก้ บูลส์ แข็งแกร่งสุดๆในยุค 90 เมื่อกวาดแชมป์มาครองได้ถึง 6 สมัยด้วยกัน ประกอบด้วยปี 1991, 1992, 1993, 1996, 1997 และ 1998 แล้วนี่คือทีมเดียวในประวัติศาสต์ของ NBA ที่เข้าชิงเมื่อไหร่ชนะรวด 100% แต่พอเข้าสู่ยุค 2000 ทีมก็ไม่เคยประสบความสำเร็จได้อีกเลย

3. โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส

อันดับ 3 คือทีม โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส ที่ครองแชมป์ไปได้ 7 สมัยคือปี 1947, 1956, 1975, 2015, 2017, 2018 และ 2022 โดยนี่คือทีมล่าสุดที่คว้าแชมป์มาครองได้ ต้องคอยจับตาดูว่าในปี 2023 นี่ ทีมจะป้องกันแชมป์ได้หรือไม่

อันดับ 1 มี 2 ทีมที่คว้าแชมป์ได้เท่ากันคือ บอสตัน เซลติกส์ & แอลเอ เลเกอร์ส
สำหรับทั้ง 2 ทีมชื่อดังที่มีฐานแฟนๆที่เยอะมากๆนี้ ครองแชมป์ได้สูงสุดของ NBA เท่ากันคือ 17 สมัย เริ่มที่ บอสตัน เซลติกส์ ซึ่งมีช่วงหนึ่งแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทะลุเข้าชิงชนะเลิศได้ถึง 8 ปีซ้อน กลายเป็นทีมแรกที่ทำได้ แล้วในรอบ 13 ปี ยังครองแชมป์ได้ถึง 11 สมัย เป็นช่วงเวลาที่ทีมแข็งแกร่ง และแชมป์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2008 ด้านฝั่งของ แอลเอ เลเกอร์ส ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมครองแชมป์มากที่สุดย่อมไม่ธรรมดา เป็นทีมน่ากลัวอยู่เสมอใน NBA มีซูปเปอร์สตาร์อยู่ในทีมมาตลอดไม่เคยขาด แล้วแชมป์ครั้งล่าสุดที่ทำได้คือปี 2020 ซึ่งนำทัพโดย เลอบรอน เจมส์ หนึ่งในนักบาสที่เยี่ยมยอดที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของ NBA และของโลกเลยทีเดียว
#7

เชียงคาน เป็นสถานที่ที่หลายคนชื่นชอบ มาแล้วจะต้องกลับมาอีกด้วยความประทับใจ เพราะที่นี่เมื่อได้มาสัมผัสในแต่ละครั้ง จะเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ได้แตกต่างจากครั้งแรกมากนัก แต่มันให้ความรู้สึกที่พิเศษอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่จะยอดนิยมมากๆในช่วงหน้าหนาว เมื่อจะพบกับอากาศที่เย็นฉ่ำสดชื่นแสนสบาย การได้นั่งมองริมฝั่งโขงกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์ มันคือความสุขอย่างที่หาที่ไหนได้ยาก แล้วที่นี่ยังมีกิจกรรมให้ทำอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งจะมาแนะนำให้รู้จักกันในวันนี้

กิจกรรมสุดฟินเมื่อมาเชียงคาน

1.ถนนคนเดียวเชียงคาน
ถนนคนเดินที่นี่นับว่าเป็นถนนคนเดินที่เพลินที่สุดในประเทศไทยแห่งหนึ่ง สถานที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง เป็นเส้นทางยาวเกือบ 2 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายอยู่เต็มไปหมด มีอาหารท้องถิ่นที่หาที่ไหนไม่ได้ แถมหากมาช่วงหน้าหนาวจะยิ่งฟินกับอากาศที่เย็นฉ่ำ เดินไปกินไปมันเป็นอะไรที่ดีต่อใจแบบสุดๆ

2.ภูทอก
เมื่อมาเชียงคานแล้ว อีกอย่างที่จะพลาดไม่ได้ คือการขึ้นไปยังภูทอก สถานที่ชมหมอกได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว การเดินทางสะดวกง่ายดาย ที่นี่มีระดับความสูงจากน้ำทะเลราวๆ 500 เมตร และขอบอกได้คำเดียวว่าไม่ผิดหวังแน่นอนหากขึ้นมาชมวิวที่นี่ยังภูทอก

3.แวะเที่ยวแก่งคุดคู้
แก่งคุดคู้คืออีกหนึ่งที่เที่ยวที่ยอดฮิตอีกแห่งเมื่อมาเชียงคาน ที่นี่เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ริมฝั่งโขง ที่สามารถลงไปถ่ายรูปใกล้ๆได้ ไปชื่นชมความสวยงามแสนสดชื่นของแม่น้ำโขงได้อย่างใกล้ชิด ทั้งริมฝั่งยังมีร้านอาหารพร้อมร้านของฝากที่จะซื้อกลับบ้านอยู่เต็มไปหมด หรือจะอยากนั่งพักผ่อนสบายๆ ก็มีสถานที่จัดเตรียมไว้ตามที่ต่างๆไว้พร้อมเหมือนกัน

4.สกายวอร์ค ณ เชียงคาน
สกายวอร์คที่นี่มีความพิเศษไม่เหมือนที่ไหนๆ เพราะได้ตั้งอยู่ยังจุดแรกที่แม่น้ำโขงไหลผ่านเข้าสู่ดินแดนภาคอีสานของประเทศ ทั้งยังมีความสูงเหนือกว่าระดับน้ำโขงราวๆตึก 30 ชั้น ที่จะได้เห็นความสวยงามของที่นี่กันอย่างเต็มตาจุใจ กับทางเดินใสสะอาดที่มองเห็นเบื้องล่างได้อย่างชัดเจนประมาณ 100 เมตร รับรองว่าทั้งเสียวทั้งสนุกทั้งคุ้มค่าอย่างแน่นอน

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงกิจกรรมเล็กๆน้อยๆที่เชียงคานเท่านั้น แต่หากได้มาด้วยตัวเองล่ะก็ จะพบกับสิ่งต่างๆอีกเยอะที่รออยู่ ที่จะสร้างความประทับใจ สร้างความสุขรอยยิ้มกลับบ้านที่ไม่คาดคิดได้แน่ และมั่นใจอย่างมากว่าหากได้มาแล้ว จะต้องกลับมาอีกครั้งไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต 100%
#8
ตัวแรง ราคาดี  8)
#9

Kawasaki Z900 SE เป็น Naked Bike อีกรุ่นของคาวาซากิ ที่ยังคงคาแรคเตอร์ที่ดุดันเเละสง่างามตามสไตล์ Sugomi  โดยมันให้ความรู้สึกที่ เร้าใจและควบคุมง่าย รวมไปถึงดุดันและการควบคุมฉับไว คล่องตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถในตระกูล Z นับว่าเป็นรถอีกรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับ Kawasaki Z900 SE เเล้วมีมิติตัวรถที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยการที่มีความกว้างอยู่ที่ 825 มิลลิเมตร ทางด้านความยาวอยู่ที่ 2,130 มิลลิเมตร เเละมีความสูงที่ 1,115 มิลลิเมตร โดยมีระยะห่างช่วงล้ออยู่ที่ 1,455 มิลลิเมตร ส่วนระยะห่างจากพื้นอยู่ที่ 145 มิลลิเมตร เเละมีความสูงของเบาะ 800 มิลลิเมตร ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 17 ลิตร ทำให้มีน้ำหนักรวมสุทธิอยู่ที่ 213 กิโลกรัม เรียกว่าน่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย

สมรรถนะเครื่องยนต์ของ Kawasaki Z900 SE ก็เเรงไม่ใช่เล่นๆ เมื่อมันมาพร้อมกับขุมกำลังเครื่องยนต์ขนาด 948 ซีซี โดยเป็นเครื่องยนต์เเบบ Liquid-cooled, 4-stroke In-Line Four  มีระบบวาล์วเเบบ DOHC, 16 valves ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 73.4 x 56.0 มิลลิเมตร  อัตราส่วนแรงอัดอยู่ที่ 11.8 : 1 ส่วนระบบคลัทช์เป็นคลัทช์เปียกหลายแผ่นแบบธรรมดา โดยมีระบบเกียร์เป็นเเบบ 6 สปีด, ย้อนกลับ โดยมีระบบจุดระเบิดเป็นเเบบดิจิตอล ส่วนระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นเเบบ Fuel injection: ø36 mm x 4 with sub-throttles โดยที่มีระบบสตาร์ทเป็นเเบบไฟฟ้า เรียกว่าเเรงสะใจไปเลย

เฟรมของ Kawasaki Z900 SE ได้รับการปรับปรุงใหม่ถูกเสริมความแข็งแรงในส่วนของแกนสวิงอาร์มเพื่อความมั่นคงและแม่นยำ ในขณะที่ยังรักษาสมรรถนะการควบคุมอันยอดเยี่ยมจากรูปเเบบเฟรมของ  Z900 SE เอาไว้อย่างครบถ้วน ส่วนทางด้านระบบกันสะเทือนหน้าเป็นเเบบ ø41 mm inverted fork with compression and rebound damping and spring preload adjustability  ในขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบ Horizontal Back-link, gas-charged shock with rebound damping and spring preload adjustability  ในขณะที่ระบบเบรกด้านหน้าจะเป็นเเบบ Dual semi-floating ø300 mm discs caliper Dual radial-mount, monobloc, opposed 4-piston ส่วนระบบเบรกด้านหลังจะเป็นเเบบ Single ø250 mm petal discs caliper Single-piston โดยที่ยางหน้ามีขนาด 120/70ZR17 M/C (58W) ส่วนยางหลังมีขนาด 180/55ZR17 M/C (73W) หน้าจอเเสดงผลเป็นจอเเบบ LCD มัลติฟังก์ชั่น โคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมกับไฟท้ายเเบบ LED เช่นกัน โดยมาพร้อมกับตัวบอดี้ให้เลือกถึง 3 สี ทั้งสี METALLIC SPARK BLACK / CANDY LIME GREEN (SE) (ACC) (2023), สี METALLIC SPARK BLACK / CANDY LIME GREEN (SE) เเละสี METALLIC SPARK BLACK / CANDY LIME GREEN (SE) (ACC)

โดยราคาขายของ Kawasaki Z900 SE นั้นเคาะราคาขายออกมาที่ 482,000 บาท สำหรับสีเเบบ METALLIC SPARK BLACK / CANDY LIME GREEN (SE) (ACC) (2023) ส่วนเรทราคา 499,800 บาทสำหรับสีเเบบ METALLIC SPARK BLACK / CANDY LIME GREEN (SE) เเละ 512,000 บาทสำหรับสีเเบบ METALLIC SPARK BLACK / CANDY LIME GREEN (SE) (ACC)
#10

คาวาซากิ เป็นอีกเเบรนด์ที่ส่งรถเข้าร่วมการเเข่งขันในรายการต่างๆ มากมาย เเละเทคโนโลยีจากสนามเเข่งขันก็ถูกถ่ายทอดมาสู่บิ๊กไบค์ในท้องตลาด โดยเจ้า Kawasaki Ninja ZX-10RR ก็เป็นอีกรุ่นที่สามารถคว้าเเชมป์มาหลายสนามเเละมีการผลิตออกมาจำหน่ายทั่วไป โดยผลิตออกมาจำหน่ายเพียงเเค่ 1,000 คันทั่วโลก เรียกว่ามีหลายๆ คนอยากได้มาครอบครองเป็นเจ้าของ

มิติตัวรถของ Kawasaki Ninja ZX-10RR ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยมันมาพร้อมกับความกว้างอยู่ที่ 740 มิลลิเมตร ทางด้านความยาวอยู่ที่ 2,085 มิลลิเมตร เเละมีความสูงที่ 1,145 มิลลิเมตร โดยมีระยะห่างช่วงล้ออยู่ที่ 1,440 มิลลิเมตร ส่วนระยะห่างจากพื้นอยู่ที่ 145 มิลลิเมตร เเละมีความสูงของเบาะ 835 มิลลิเมตร ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 17 ลิตร ทำให้มีน้ำหนักรวมสุทธิอยู่ที่ 206 กิโลกรัม

Kawasaki Ninja ZX-10RR นั้นพกพาความเเรงด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ ขุมกำลังขนาด 998 ซีซี โดยเป็นเครื่องยนต์เเบบ Liquid-cooled, 4-stroke In-Line Four มีระบบวาล์วเเบบ DOHC, 16 valves ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 76 x 55 มิลลิเมตร  อัตราส่วนแรงอัดอยู่ที่ 13.0 : 1 ส่วนระบบคลัทช์เป็นเเบบ  Wet multi-disc, manual โดยมีระบบส่งกำลัง 6-speed, return โดยมีระบบจุดระเบิดเป็นเเบบ Digital ส่วนระบบเชื้อเพลิงเป็นเเบบ Fuel injection: ø47 mm x 4 with dual injection โดยมีระบบสตาร์ทเป็นเเบบ Electric เป็นรถที่ทรงพลังเเละมีสมรรถนะสูงอย่างยิ่ง

Kawasaki Ninja ZX-10RR นั้นมีเฟรมที่ได้รับการออกเเบบมาเป็นอย่างดีด้วยเทคโนโลยีสูงเเละวัสดุชั้นเลิศ โดยมันมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนหน้าเเบบ ø43 mm inverted Balance Free Front Fork with external compression chamber, compression and rebound damping and spring preload adjustability, and top-out springs ส่วนระบบกันสะเทือนหลังจะเป็นเเบบ Horizontal Back-link with BFRC lite gaschanged shock, piggyback reservoir, compression and rebound damping and spring preload adjustability, and top-out springs ในขณะที่ระบบห้ามล้อหน้าจะเป็นเเบบ Dual semi-floating ø330 mm Brembo discs Dual radial-mount, Brembo M50 monobloc, opposed 4-piston ส่วนระบบห้ามล้อหลังเป็นเเบบ Single ø220 mm disc Single-bore pin-slide โดยมีขนาดยางหน้า 120/70ZR17M/C (58W) ส่วนขนาดยางหลัง 190/55ZR17M/C (75W) ส่วนทางด้านมาตราวัดรอบเครื่องยนต์แบบเข็มจับคู่มากับหน้าจอ LCD สี TFT full colour คุณภาพสูง ส่วนโคมไฟหน้าดูสปอร์ตเร้าใจเเบบ LED เเละมีตราประทับ "RR" อยู่ที่ฝาครอบ pulser และที่ปุ่มสตาร์ท เพื่อให้แตกต่างจากรุ่นธรรมดา เเละมีล้อแม็กซ์อะลูมิเนียม 7-Spoke ซึ่งคาวาซากิร่วมกับ Marchesini พัฒนาขึ้นเพื่อความคล่องตัวให้กับการขับขี่ โดยตัวบอดี้มีสีเดียวคือ สี LIME GREEN ที่เป็นเอกลักษณ์ของนินจา

สนราคาของ Kawasaki Ninja ZX-10RR นั้นเคาะราคาขายออกมาที่เรท 998,000 บาท เรียกว่าเป็นเรทราคาที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับบิ๊กไบค์สมรรถนะสูงๆ ที่มีดีเอ็นเอมาจากสนามแข่งเเบบนี้